โจรปล้นรัก – โรซาน่า
เจ้าหญิงพศิกา ทรงคัดค้าน
ไม่ให้พระเชษฐาแต่งตั้งผู้ชายคนหนึ่งเป็นพระสนมเอก
ทว่า องค์ราชานฤเทพบดินทร์ ยืนยันว่าพระองค์ทรงรักเขาจริงๆ
เจ้าหญิงพศิกาทรงยืนกรานว่าความรักไม่สำคัญเท่ากับความเหมาะสม
และพระองค์เองก็จะอภิเษกสมรสด้วยความเหมาะสมเช่นเดียวกัน
สองพี่น้องตกลงกันว่า หากเจ้าหญิงพศิกาแต่งงาน ‘ด้วยความเหมาะสม’
แล้วมีความสุขกับชีวิตคู่ องค์ราชาก็จะไม่แต่งตั้งชายผู้นั้นเป็นพระสนมเอก
และจะอภิเษกราชินีที่เป็นผู้หญิง
ระยะเวลาตามข้อตกลงคือหนึ่งปี
องค์ราชาทรงจัดพิธีเลือกคู่ให้พระขนิษฐา
ทว่าเจ้าหญิงพศิกาไม่ได้เป็นผู้เลือก
แต่เป็นองค์ราชาที่ทรงเลือกให้ ‘ตามความเหมาะสม’
ผู้ได้รับเลือกคือ เจ้าชายอาวัชน์แห่งแคว้นกุสุม
หลังพิธีอภิเษกสมรส เจ้าหญิงพศิกาต้องเดินทางไปยังกุสุม
พร้อมเจ้าชายหนุ่ม ทว่าระหว่างเดินทางขบวนเสด็จกลับถูกปล้น
เจ้าชายอาวัชน์ถูกฆ่า ส่วนเจ้าหญิงพศิกานั้นถูกฉุดไปเป็น ‘เมียโจร’
เสียงอาวุธฟาดฟันกันดังน่ากลัวยิ่งนัก ทว่าเสียงที่น่ากลัวยิ่งกว่า
คือเสียงตะโกนสั่งการที่ได้ยินเป็นระยะ
“ฆ่า! ใครขวางฆ่าทิ้งให้หมด”
“เก็บของ เร็ว! ของมีค่าเก็บมาให้หมด!”
“ผู้หญิงล่ะ! ผู้หญิงอยู่ไหน! ในรถม้านั่น เร็วๆ!”
“เงินทองไม่ต้องสนใจ ไปให้ถึงผู้หญิงก่อน เอาตัวกลับไปให้ได้”
“เปิดทาง! เปิดทางให้นายเร็ว นายจะไปหาเมีย”
“วันนี้นายจะได้เมียเป็นเจ้าหญิงแล้วโว้ย!”
นางข้าหลวงสองนางต่างหันมองพระพักตร์ของเจ้าหญิงของตนอย่างตระหนก
ขณะเจ้าหญิงพศิกาซึ่งกำลังตกพระทัยเช่นกัน
พยายามสงบพระทัยไว้และไม่แสดงออก
ทันใดนั้น ประตูรถม้าที่ประทับพลันถูกเปิดออก โจรโพกหัว
และมีหนวดเคราเฟิ้มเต็มหน้าคนหนึ่งถือดาบชะโงกหน้าเข้ามาข้างใน
โป๊ก!
ดาบยังไม่ทันทะลุท้องใคร เหยือกน้ำใบหนึ่งกลับกระแทกหน้าผากเสียก่อน
คนหนึ่งหน้าผากเขียวปั้ด ส่วนอีกคนกำลังหอบหายใจ ดวงตาสองคู่สบกันแน่วนิ่ง
นี่เป็นครั้งแรกที่เจ้าหญิงทรงพบกับนายโจร
“เมื่อกี้ถีบมาตรงไหนรู้ไหม”
คนถูกถามทรงเชิดพระพักตร์ขึ้น ตรัสตอบหนักแน่น
“รู้”
โกสินทร์ ชะงัก ปวดหัวนิดๆ ขำหน่อยๆ ขณะเดียวกันก็เคือง
“ทีหลังห้ามถีบตรงนี้”
น้ำเสียงของเขาจริงจัง ทว่าเจ้าหญิงพศิกากลับทรงรู้สึกว่า
เขาไม่ได้น่ากลัวเท่าไรนักแล้ว
“เกิดมันใช้การไม่ได้ขึ้นมา ไม่ใช่ฉันคนเดียวที่จะลำบาก
เธอเองก็จะลำบากด้วยเพราะไม่มีใช้”
ถึงจะเป็นเจ้าหญิงแห่งวัสสะ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะทรงไร้เดียงสา
ในเรื่องเพศเอาเสียเลย เรื่องความสัมพันธ์ทางกายระหว่างชายหญิงนี้
ก่อนอภิเษกสมรสก็มีผู้สอนพระองค์อย่างละเอียดแล้ว
พระองค์จึงฟังเข้าใจ เมื่อเข้าใจแล้วจึงกริ้ว
พระพักตร์ร้อนซู่ด้วยความอับอาย ระคายพระกรรณ
“หยาบคาย!”
“เรื่องธรรมชาติ”
คนฟังพระพักตร์ตึง ทว่านอกจากไม่พอพระทัยแล้วก็ทำอะไรเขาไม่ได้
“รับปากมาก่อนว่าจะไม่ถีบตรงนี้ของฉันอีก”
“ถ้าฉันพูด เธอจะเชื่อหรือ”
“เจ้าหญิงไม่น่าพูดโกหกนะ ว่าไหม”
“ได้ ไม่ถีบ”
ไม่ถีบตรงนั้นแต่จะถีบตรงอื่น จะเตะ จะฟาด จะทุบ
จะตี จะชก จะกัด จะทำอย่างอื่นให้หมด
“เอาล่ะ งั้นก็มานอน”
“เธอ…จะทำอะไรฉันอีกไหม”
“ไม่ทำแล้ว ไม่มีอารมณ์”
“จูบราตรีสวัสดิ์ฉันด้วย”
“อะไรนะ”
“จูบตรงนี้”
ชายหนุ่มจิ้มที่หน้าผาก
“ทำให้ชินไว้ ทีหลังจะได้รู้ว่ามันแค่เรื่องเล็กๆ
ไม่ต้องตื่นเต้น ทำเป็นเรื่องใหญ่เรื่องโต”
เมื่อนึกทบทวนดูแล้ว เรื่องราวใหญ่โตนี้ก็ดูเหมือน
จะมีจุดเริ่มต้นมาจากตรงนั้นจริงๆ คือรอยจุมพิตบนขมับ
“ฉัน…”
เรื่องเล็กอะไรกัน พระองค์ทรงทำไม่ได้หรอก
ให้จูบผู้ชายที่จับตัวพระองค์มาน่ะหรือ ถึงจะเป็นที่หน้าผาก
ก็เป็นสิ่งที่พระองค์ไม่เคยทรงทำกับใครเลย แม้แต่พระเชษฐา
เมื่อโตมาพอจะเรียกได้ว่าเป็นสาวก็ไม่ค่อยได้ใกล้ชิดกันมากกว่ากอด
และฝ่ายที่จูบพระนลาฏก็คือพระเชษฐา ไม่ใช่พระองค์
“ถ้าไม่จูบหน้าผากก็มีอีกที่หนึ่งให้เลือก”
“ที่ไหน”
“ตรงที่เธอถีบไง”
เจ้าหญิงพศิกาทรงคิดตามแล้วก็แทบจะทรงร้องกรี๊ด
“ทะลึ่ง! หยาบคาย!”
โกสินทร์ยกยิ้ม
“หรือถ้าไม่จูบ จะช่วยดูให้สักหน่อยก็ได้ เปิดไฟแล้ว
เดี๋ยวหายามาทาให้หน่อย ฉันยังรู้สึกเจ็บๆ อยู่
ถ้าอักเสบขึ้นมาแล้วใช้การไม่ได้…”
“จูบก็ได้!”
“ฮะ อะไรนะ จะจูบตรงนี้หรือ”
ประกอบคำถามคือการใช้มือชี้
“หน้าผาก! จูบ…จูบหน้าผากก็ได้”
“อ้อ เอาสิ”