เวหาสภิรมย์ – ฉัตรกวี
“จีบหรือ”
ดูเหมือนเขาสงสัยคำนี้
“อ๋อจีบ หมายถึง…เขาเรียกอะไรน้า แบบว่าที่ผู้ชายเข้ามาตีสนิท
ชอบมาพูดคุยกับผู้หญิงที่ตัวเองชอบเพคะ หม่อมฉันไม่รู้เรียกว่าอะไร”
นั่นสินะ สมัยก่อนเรียกว่าอะไรเธอก็นึกไม่ออก
ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ตรึกตรองครู่หนึ่ง
“เกี้ยว”
“เพคะ?”
“เขาเรียก เกี้ยวพาราสี”
เนตรสีนิลดั่งรัตติกาลสบแววตาคู่หวาน
“อ๋อเกี้ยว แล้วสมัยก่อนเขาเกี้ยวกันยังไงเพคะ”
เจ้าหนูจำไมสงสัยหนัก คนโบราณหวงเนื้อหวงตัวจะตาย
คงไม่ทำอะไรประเจิดประเจ้อเหมือนคนสมัยนี้หรอกมั้ง
หม่อมเจ้าธราดล นิ่งไปพักใหญ่ แล้วจู่ๆ กลับเคลื่อนองค์มานั่งข้างสาวน้อย
“หยิบปากกาขึ้นมาเตรียมจดลงกระดาษ”
รับสั่งอย่างรวดเร็ว แม้มึนงงแต่เธอก็รีบทำตามทันที
มือบางล้วงเอาปากกากับสมุดบันทึกที่ชอบพกติดตัวออกจากกระเป๋า
“ปางพี่มาดสมานสุมาลย์สมร
ดั่งหมายดวงหมายเดือนดารากร
อันลอยพื้นอัมพรโพยมพราย…”
สิ้นพระสุรเสียง ไหมบุรีก็ช้อนสายตาสบดวงเนตรดำขลับ
ใบหน้าของเธอคล้ายกับถามว่ามีแค่นี้หรือ ครั้นได้จ้องลึกเข้าไปในเนตรสีนิลคู่นั้น
เธอรู้สึกราวกับจมดิ่งลงสู่หุบเหวไม่มีสิ้นสุด ลืมเลือนกระทั่งกาลเวลา
ว่าสบพักตร์นานเพียงไร พอรู้สึกตัวใจดวงน้อยทำท่าเต้นไม่เป็นส่ำ
ใบหน้าหวานผ่าวร้อนอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
ไหมบุรี กำลังเดินออกจากศาลาริมน้ำ ร่างสูงใหญ่กลับลอยมาหยุดที่ด้านหน้า
จนเธอเกือบทะลุผ่าน ไหมบุรีผงะด้วยความตกใจ
ตอนนี้พักตร์หล่อเหลาของหม่อมเจ้าธราดลห่างเพียงคืบเท่านั้น
“ฉันเพียงอยากบอกว่า ขอให้หล่อนประสบพบเจอแต่สิ่งดีงามและเจริญยิ่งๆ ขึ้นไป”
ดวงตาคู่หวานเผลอจ้องพักตร์อย่างลืมตัว
“ปะ…เป็นพระกรุณาเพคะ”
“และอีกเรื่อง สำคัญนัก”
หม่อมเจ้าธราดลจับจ้องวงหน้าแฉล้มราวกับตรึงไว้ในดวงจิต
ก่อนจะเอื้อนเอ่ยตรัสรับสั่งสิ่งสุดท้าย
“กลอนนั่น ฉันให้หล่อน”